"การรับรองบุตร" ต้องทำอย่างไร ต้องใช้เอกสารอะไรบ้าง ต้องยื่นที่ศาลไหน
หากมีเรื่องทุกข์ร้อนใจ ทุกปัญหามีทางออก
ปรึกษากฎหมาย
โทร 095-169-9998
หรือสามารถส่งข้อความที่ต้องการสอบถาม มายังไลน์ (Line) เพียงกดเพิ่มเพื่อน ด้านล่างนี้ได้เลย
“ขั้นตอนการขอรับรองบุตร” กรณีมารดาให้ความยินยอม หรือมารดาเสียชีวิต
หากบิดา มารดา ไม่ได้จดทะเบียนสมรสกัน แต่อยู่กินกันฉันสามีภริยา และมีบุตรด้วยกัน ตามกฎหมายแล้วบุตรที่เกิดมา จะเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายของมารดาเท่านั้น ถึงแม้ บิดา จะเป็นผู้แจ้งเกิด หรือให้ใช้นามสกุล หรือส่งเสียเลี้ยงดู ก็ “ยังไม่ถือว่าเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายของบิดา” เพราะการจะเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายจะต้องเป็นกรณีใดกรณีหนึ่ง ดังนี้
- บิดามารดาที่ได้จดทะเบียนสมรสกัน
- บิดามารดาที่ไม่ได้จดทะเบียนสมรสกัน แต่ได้มีการจดทะเบียนสมรสกันในภายหลังมีบุตร
- บุตรที่บิดาจดทะเบียนรับรองบุตร
- ศาลพิพากษาว่าเป็นบุตร
ในการที่บิดา มารดา ไม่ได้จดทะเบียนสมรสกัน อาจทำให้บุตร และบิดา เสียสิทธิ ต่างๆ ได้ ดังนั้น บิดาควรต้องทำเรื่องขอรับรองบุตร โดยการขอรับรองบุตรทำได้ ที่หน่วยงานราชการ หรือ ยื่นคำร้องต่อศาลขอให้บิดาเป็นบิดาที่ชอบด้วยกฎหมายของบุตร ดังนี้
1.การขอ "รับรองบุตร" ที่หน่วยงานราชการ ขั้นตอนในการจดทะเบียน คือ บิดาต้องยื่นคำร้องขอจดทะเบียนรับรองบุตรต่อนายทะเบียน ณ สำนักทะเบียนอำเภอ กิ่งอำเภอ หรือสำนักทะเบียนเขต พร้อมทั้งแนบเอกสารที่ต้องใช้ในการจดทะเบียน เช่น
1.1 บัตรประจำตัวประชาชน บิดา มารดา บุตร
1.2 สำเนาทะเบียนบ้าน บิดา มารดา บุตร
1.3 หนังสือแสดงความยินยอมของ บุตร
1.4 หนังสือแสดงความยินยอมของมารดาของบุตรก่อนรับจดทะเบียน
- นายทะเบียนจะทำการตรวจสอบหาข้อเท็จจริงจากพยานบุคคล เช่น บิดามารดา กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน เพื่อนบ้าน เพื่อให้ได้ความจริงเสียก่อน โดยบิดาจะจดทะเบียนเด็กเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายได้ต่อเมื่อ ได้รับความยินยอมของเด็กและมารดาเด็ก ดังนั้น “เด็กและมารดาเด็กต้องให้ความยินยอมในการจดทะเบียนทั้งสองคน” ซึ่งอาจมาให้ความยินยอมต่อหน้านายทะเบียนก็ได้ ในกรณีที่เด็กและมารดาไม่ได้มาให้ความยินยอมต่อหน้านายทะเบียน ให้นายทะเบียนแจ้งการขอจดทะเบียนไปยังเด็กและมารดา ถ้าทั้งสองคนไม่คัดค้านหรือไม่ให้ความยินยอมภายใน 60 วันนับแต่ได้รับแจ้ง (ถ้าเด็กและมารดาอยู่ต่างประเทศให้ขยายเวลาเป็น 180 วัน) ให้สันนิษฐานว่าเด็กหรือมารดาเด็กไม่ให้ความยินยอม
แต่หากเด็ก มีอายุ ไม่ถึง 7 ปี ยังถือว่าเด็กยังไม่อาจให้ความยินยอมได้ หรือมารดาไม่ให้ความยินยอม หรือมารดาเด็กเสียชีวิต ต้องไปยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งให้เป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมาย เท่านั้น
2. การยื่น คำร้องขอ "รับรองบุตร" ที่ศาล มีเอกสารที่ต้องใช้คือ
2.1 บัตรประจำตัวประชาชน บิดา มารดา บุตร
2.2 สำเนาทะเบียนบ้าน บิดา มารดา บุตร
2.3 หนังสือแสดงความยินยอมของบุตร
2.4 หนังสือแสดงความยินยอมของมารดาของบุตรก่อนรับจดทะเบียน
2.5 ใบสูติบุตร
2.6 หลักฐานการส่งเสียเลี้ยงดูบุตร ช่น สลิปการโอนเงินค่าเทอม ค่าน้ำ ค่าเสื้อผ้า ค่าอาหาร รูปถ่าย
2.7 ใบมรณะบัตร มารดา (กรณีมารดาเสียชีวิต)
2.8 สำเนาใบเปลี่ยนชื่อตัว ชื่อสกุล ของบิดา มารดา และบุตร (ถ้ามี)
หลังจากที่รวบรวมหลักฐานครบถ้วนให้ยื่นคำร้องและแนบเอกสารทั้งหมดไปยังศาล เพื่อขอให้ศาลมีคำสั่งให้เป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมาย
3. เขตอำนาจศาล
ต้องขึ้นศาลชํานัญพิเศษคือ ศาลเยาวชนและครอบครัว #ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.2550
4. ระยะเวลาในการทำเรื่อง
ระยะเวลาดำเนินการ ใช้เวลาประมาณ 2-4 เดือน นับแต่วันที่ยื่นคำร้องขอจดทะเบียนรับรองบุตร (กรณีที่ไม่มีผู้คัดค้าน) โดยบิดา ต้องนำบุตร และมารดา ไปให้ถ้อยคำต่อผู้อำนวยการสถานพินิจ เพื่อรายงานข้อเท็จจริงต่อศาลภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ศาลมีคำสั่งรับคำร้องเรา
เมื่อถึงวันนัดไต่สวนคำร้อง และศาลมีคำสั่งอนุญาตให้รับรองบุตร ต้องรอออกหนังสือรับรองคดีถึงที่สุด 1 เดือน เมื่อได้คำสั่ง และหนังสือรับรองคดีถึงที่สุด ให้นำคำสั่งไปติดต่อหน่วยงานราชการ เพื่อจดทะเบียนรับรองบุตร
ข้อเสียหากไม่ได้เป็นบิดาที่ชอบด้วยกฎหมาย
การที่ไม่ได้เป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายของบิดา ทำให้ทั้งตัวบิดาและผู้เยาว์ เสียสิทธิตามกฎหมายหลายประการ เช่น
1.บิดาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่มีสิทธิฟ้องคดีแทนผู้เยาว์ กรณีผู้เยาว์เป็นผู้เสียหายในคดีอาญา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 5 (1) เพราะถือว่าไม่ใช่ผู้แทนโดยชอบธรรม ( ฎ.1988/2514 )
2.บิดาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่มีสิทธิฟ้องคดีแพ่งแทนผู้เยาว์ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 56
3.บิดาเสียสิทธิเรื่องอำนาจปกครองบุตร อำนาจในกำหนดที่อยู่อาศัย กำหนดสถานที่ศึกษา การทำโทษ การให้ทำงานตามฐานานุรูป การเรียกคืนบุตรจากบุคคลที่กักไว้โดยไม่ชอบ เพราะถือว่าไม่ใช่บิดาที่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่ใช่เป็นผู้ปกครอง ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1567
4.บุตรเสียสิทธิในการเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตร เพราะไม่ถือว่าเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายของบิดา(ฎ.1601/2492 )
5.บุตรและบิดา เสียสิทธิในการรับเงินต่างๆ เช่น เงินบำนาญตกทอด หรือเงินช่วยเหลือๆของราชการ ตามที่กฎหมายกำหนดให้บิดาหรือบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายเท่านั้นมีสิทธิได้รับ
6.กรณีบุตรถูกทำร้ายหรือทำละเมิดเสียชีวิต บิดาไม่มีสิทธิฟ้องเรียกค่าขาดไร้อุปการะต่างๆ เพราะถือว่าบุตรไม่มีหน้าที่ในการอุปการะเลี้ยงดูบิดา ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1563 เนื่องจากไม่ใช่บิดาที่ชอบด้วยกฎหมาย
7.กรณีบิดาถูกทำร้ายหรือทำละเมิดเสียชีวิต บุตรก็ไม่มีสิทธิฟ้องเรียกค่าขาดไร้อุปการะต่างๆ เพราะถือเป็นบิดาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่มีหน้าที่ในการให้การอุปการะเลี้ยงดู ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิช์ มาตรา 1564 ทั้งนี้ตามนัย คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1409/2548
8.บิดาและบุตร เสียสิทธิในการหักลดหย่อนภาษีตามกฎหมาย ทั้งนี้เพราะ คำว่าบุตรชอบด้วยกฎหมาย ตามมาตรา 47(1)(ค) แห่งประมวลรัษฎากร หมายถึง บุตรชอบด้วยกฎหมายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 ว่าด้วยครอบครัว ทั้งนี้ตามนัย คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1437/2526
9.บิดาไม่ได้รับการคุ้มครองจากกฎหมายอุทลุม ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1564 บุตรสามารถฟ้องบิดาเป็นคดีแพ่งอละอาญาได้ เนื่องจากไม่ใช่บิดาที่ชอบด้วยกฎหมาย
10.บุตรเสียสิทธิในการใช้นามสกุลของบิดา เพราะบุตรที่มีสิทธิจะใช้นามสกุลของบิดาได้นั้น จะต้องเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1561
11.บิดาไม่มีสิทธิยุ่งเกี่ยวหรือดำเนินการใดๆเกี่ยวกับทรัพย์สินของผู้เยาว์ รวมทั้งไม่มีอำนาจขออนุญาตต่อศาล เพื่อทำนิติกรรมแทนผู้เยาว์ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1574

0 ความเห็น
แสดงความเห็น